กลายมาเป็น "มีม" บนโลกออนไลน์ ก็หนีไม่พ้น "สายตรงไอน์สไตน์" ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบชัดเจนว่าตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอะไร เวลาได้ยินใครแซวประเด็นนี้ เพราะลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ เฮอร์เบิร์ต ไอน์สไตน์ อาจารย์ด้านวิศวกรรมโยธาและวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม MIT ที่รักและเอ็นดูตัวเองมากๆ เป็นต้นแบบในการทำงาน ทั้งเรื่องความขยัน และความมีระเบียบวินัย ซึ่งตอนนี้ท่านอาจารย์เองก็ให้กำลังใจอยู่ รีวิวการ์ตูนอนิเมะ
เมื่อถามว่า แล้วการเปิดตัวแรง แต่กลับโดนแทงยับไปหลายแผล ต้องตั้งรับอย่างไร สุชัชวีร์เล่าว่า จริงๆ แล้วในชีวิตการทำงานเป็นหัวหน้าองค์กรต่างๆ ก็ต้องเจอเรื่องพวกนี้มาตลอด ก็เป็นการค่อยๆ ฝึกหัวใจ จนมาถึงอายุเท่านี้ ได้รับผิดชอบงานหลายๆ อย่างที่มีความยาก เช่น ตอนที่ ม.เทคโนฯ ลาดกระบัง ถูกยักยอกเงินไปกว่า 1,600 ล้านบาท ก็เป็นงานที่หนักมากกว่าจะทำให้มหาวิทยาลัยฟื้นจากวิกฤตมาได้ เพราะฉะนั้นตัวเองก็มีภูมิต้านทานมาอยู่เรื่อยๆ แต่ที่ช่วยได้มากที่สุดก็คือกำลังใจจากคนครอบครัว
เมื่อถามต่อว่าคิดผิดหรือเปล่า ที่ย้ายจากสายวิชาการมาลงการเมืองให้เปลืองตัว สุชัชวีร์ ยิ้มและตอบว่า ไม่เคยคิดเลย เพราะอะไรทุกอย่างถ้ามองให้ดี มันก็เป็นบวก บางครั้งดูเหมือนจะเป็นลบ แต่หลายๆ ครั้งในชีวิตที่เหมือนจะเป็นลบ แต่สุดท้ายเวลาผ่านไป กลายเป็นบวกมหาศาลเหมือนกัน
สุชัชวีร์ เป็นคนที่มีงานอดิเรก สะสมฟิกเกอร์ไอรอนแมน และชอบดูไอรอนแมน และภาพยนตร์ของมาร์เวลอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าให้เลือกเป็นซูเปอร์ฮีโร่สักตัวนึง แม้ว่าจะไม่ได้อยากเป็นยอดมนุษย์ แต่ถ้าดูจากความชอบก็คงต้องเป็นไอรอนแมน เพราะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวเดียวที่ใช้สมองคิดค้น นวัตกรรมด้านวิศวกรรมมาใช้เป็นพลัง แต่ถ้าเปรียบกับตัวอื่นๆ พลังของพวกเขาก็จะมาจากอย่างอื่น เช่น ฮัล์ค ที่พลังมาจากสารกัมมันตภาพรังสี หรืออย่าง ดร.สเตรนจ์ที่พลังมาจากเวทมนตร์ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังสัมภาษณ์ สุชัชวีร์ยังได้พาทีมงานไปดูห้องทำงานที่ออกแบบมาให้เหมือนห้องลับของโทนี สตาร์ค พระเอกจากเรื่องไอรอนแมนอีกด้วย
พูดถึงเรื่องปัญหา กทม. ก็มีอยู่หลายอย่างที่ขัดใจสุชัชวีร์ อย่างแรกที่เขาคิดถึง คือปัญหาน้ำท่วม น้ำหนุน และน้ำเน่า เพราะถ้ามองในมุมของวิศวกร เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เรื่องอื่นๆ อาจจะดีขึ้นตามสถานการณ์โลก แต่ว่าเรื่องกรุงเทพฯ จะจมทะเลมันเป็นเรื่องจริง ตัวเองอยากแก้ปัญหาตรงนี้ เพื่อป้องกันให้คนกรุงเทพฯ ในรุ่นต่อๆ ไปอีก 10 ปีข้างหน้ายังมีแผ่นดินอยู่
ทีมข่าวถามว่า แล้วมีปัญหาในการกำจัดแมลงสาบใน กทม. อย่างไร? สุชัชวีร์ ยิ้มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ตอบในเชิงนโยบายอย่างเอาจริงเอาจังว่า ปัญหาแมลงสาบ หรือหนู ใน กทม. มันมาจากขยะ เพราะ กทม. ยังเก็บขยะได้ไม่ถี่พอ ปล่อยให้ค้างคาและกองอยู่หน้าร้าน ต้องแก้ด้วย 2 วิธีคือ เพิ่มความถี่ในการเข้าถึงของรถเก็บขยะ เพราะปัจจุบันรถมีขนาด 5 ตันซึ่งใหญ่เกินไป กีดขวางการจราจร และเข้าไม่ถึงซอยเล็กๆ ดังนั้นถ้าปรับเป็นลดขนาด ครึ่ง หรือหนึ่งตัน เป็นรถปิ๊กอัพเล็กๆ หรือรถสามล้อแบบต่างประเทศ ก็จะทำให้เข้าถึงได้ง่าย เก็บขยะได้ทั่วถึง ส่วนข้อที่ 2 คือ ต้องเพิ่มกำลังคนเก็บขยะ และลดระยะทางในการส่งขยะ จากเดิมที่ไกลมากเช่น เขตดุสิตต้องไปทิ้งเขตสายไหม ทำให้ขยะกองหน้าร้านระหว่างรอขนในรอบต่อไป
ส่วนประเด็นการเมืองที่หลายๆ ที่มักจะถามนั่นคือ การเลือกตั้ง ส.ส. ของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ไม่ได้เก้าอี้เลย แล้วการลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ กลัวจะไม่ชนะเลือกตั้งเพราะกระแสพรรคสูญพันธุ์ไปแล้วหรือไม่ สุชัชวีร์ยอมรับว่าเป็นห่วงเหมือนกัน แต่มันเป็นปกติที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในสนามการเมือง จึงคิดว่าถ้าตอนนี้ทำงานด้วยความมุ่งมั่น พยายาม และตั้งใจจริง ทุกอย่างมันจะดีขึ้น
และถ้าได้เป็นผู้ว่า กทม. ขึ้นมา สิ่งแรกที่จะทำคือการเข้าไปปรับความเข้าใจและเข้าหาเจ้าหน้าที่ กทม. เพราะในช่วงการหาเสียง เรานำเสนอแต่ปัญหาใน กทม. จนอาจจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าเราจ้องจะเล่นงาน หรือตำหนิพวกเขา แต่ในการทำงานจริงๆ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากเจ้าหน้าที่ ดังนั้นการปรับความเข้าใจและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างฝ่ายบริหารกับคนทำงาน ย่อมจะทำให้การดำเนินนโยบายเกิดขึ้นได้จริง
"ผมอยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนคน กทม. ทุกคน ผมตั้งใจที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่ผมพอมีทั้งหมดนี่แหละ รวมทั้งความตั้งใจจริงอยากจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ปัญหาหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตของคน เรื่องของเมือง อยากให้มันจบในรุ่นเรา ไม่อยากจะส่งปัญหานี้ไปต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ก็อยากจะขอกำลังใจขอให้ท่านเปิดใจช่วยสนับสนุนผม เอ้ สุชัชวีร์ และทีมพี่น้อง ส.ก. ทั้ง 50 เขตของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยนะครับ" สุชัชวีร์ ฝากถึงชาว กทม. ปิดท้ายการให้สัมภาษณ์
Comments
Post a Comment