ตามสกลธีไปลงพื้นที่ย่านเยาวราชเพื่อสัมภาษณ์ถึงประเด็นต่างๆ เริ่มตั้งแต่วันจับหมายเลขผู้สมัครที่เขาจับได้หมายเลข 3 ทั้งที่เคยโพสต์แซะกลุ่มผู้ชุมนุมที่ชู 3 นิ้ว ซึ่งประเด็นนี้ สกลธี ยอมรับว่า "ตอนนั้นในใจคิดว่า เอ้ย จับได้เบอร์ 3 เอ้ย ฉิบหายแล้วทำยังไงดี คิดหลายอย่าง แต่ไม่ได้อยากให้เป็นประเด็นทางการเมือง ก็เลยคิดเร็วๆ ก็ชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์โอเคไป ซึ่งวันนั้นพอจับได้เบอร์ 3 เป็นวันที่ยอดคนเข้ามาดูเฟซบุ๊กถล่มทลายที่สุด แต่ก็เข้าใจได้ว่าเวลามันมีคนชอบ ก็ต้องมีคนไม่ชอบ ยอมรับได้ เพราะอยู่ในวงการการเมืองมา 16 ปี เจอมาทุกรูปแบบแล้ว คือถ้าเป็นคนอื่นใจไม่ถึงอ่านคอมเมนต์ไม่ได้ แต่ตัวเองเป็นคนสบายๆ ถ้าไม่ด้อยค่ากันเกินไปจนต้องฟ้องร้อง ก็ยอมรับได้ทุกความคิดเห็น และยืนยันว่าเป็นคนไม่ลบอดีต เพราะหากเป็นคนอื่นก่อนมาลงเลือกตั้งอาจจะลบข้อความเก่าๆ ทิ้งไป แต่สำหรับตัวเอง เมื่อก่อนเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ที่อยู่ดีๆ จะมาเปลี่ยนตัวเองเวลาจะลงเลือกตั้ง" รีวิวการ์ตูนอนิเมะ
“ผมเป็นคนเหมือนกับไม่ลบอดีต ถ้าเป็นบางคนเขาอาจจะไปลบโพสต์ก่อนที่จะเข้ามา แต่ว่าเราเป็นยังไงเมื่อก่อนก็เป็นอย่างนั้น เราก็เข้าใจใครรับได้ก็ได้ ใครรับไม่ได้ก็ไม่ได้ ผมเป็นคนที่ไม่ลืมว่าเราคิดยังไง เราเป็นเหมือนเดิม ต้องพยายามรับมันให้ได้ มันไม่ใช่ที่อยู่ดีๆ จะมาเปลี่ยนตัวตนเป็นอีกอันเวลาจะลงเลือกตั้ง” สกลธี กล่าว
เมื่อถามว่ากลัวไหมที่อดีตจะเป็นตัวตัดคะแนนปัจจุบัน? สกลธี กล่าวว่า การที่ตัวเองเป็นตัวแทนของคนอีกฝั่งนึง อาจจะทำให้ภาพเหมือนมีความขัดแย้ง แต่ในการทำงาน ตัวเองไม่เคยแบ่งแยก ใครที่จะเข้ามาทำงานให้ กทม. ก็เปิดรับหมด เพื่อเมืองที่ดีขึ้น และชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ดีขึ้น ไม่อยากให้แบ่งแยกกันจนประเทศมันไปต่อไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมองว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อุดมการณ์ทางการเมืองเกี่ยวน้อยมาก มันต้องใช้ผลงานและแสดงความเป็นตัวเองมากกว่า เพราะคนกรุงเทพฯ เขาต้องเลือกคนที่เข้าไปทำงานแทนเขาอีก 4 ปี เพราะฉะนั้นจะเลือกด้วยความสะใจไม่ได้ ดังนั้นเวลาเลือกตั้งก็ต้องดูที่ตัวตน ผลงาน ประสบการณ์ นโยบาย และความเป็นไปได้ของนโยบายที่หาเสียง
ขณะที่ผลงานที่ภูมิใจที่สุดตอนดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. คือ เพิ่มการจ้างงานคนพิการที่ปกติหน่วยงานของ กทม. หรือหน่วยงานอื่นก็ตามต้องจ้างคนพิการ 1% แต่ไม่มีหน่วยงานไหนทำได้ แต่ว่าสมัยที่อยู่สำนักพัฒนาสังคมฯ ก็พยายามผลักดันร่วมกับสมาคมคนพิการมา 1-2 ปีให้ได้และจะเริ่มทยอยจ้างให้ได้ 300 คนภายในเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรทางเท้า ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก ต้องพยายามสมดุลกันระหว่างการขายของกับคนที่เขาเดินทางเท้า และต้องดูเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญคือ แม้ผู้ว่าฯ กทม. จะมีอำนาจ แต่ไม่เบ็ดเสร็จ อำนาจบางอย่างทับซ้อนกับจราจร หรือหน่วยงานอื่นๆ ระดับประเทศ ยกตัวอย่างที่เคยของบประมาณด้านเทคโนโลยีมาจัดระเบียบทางเท้าบริเวณท่าเรือศิริราช งบก็ไม่ผ่าน หรือเรื่องของกล้องวงจรปิดที่จะจับมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางเท้า งบก็ไม่ผ่าน ซึ่งถ้าตัวเองได้กลับมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็จะเข้ามาทำงานส่วนนี้ที่ค้างไว้ให้สำเร็จ อยากจะทำให้แต่ละย่านมันมีความสวยงามความเจริญ
ส่วนอีกเรื่องที่ค้างในใจ หากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จะทำเป็นอย่างแรก คือ การจัดสรรงบประมาณใหม่ บางโครงการที่ไม่จำเป็นหรือแพงเกินไป ก็ต้องยกเลิกแล้วไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นหรือขาดมากกว่า เช่น โครงการสวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ถ้าตัวเองทำอาจจะลดงบประมาณสร้างลงไป แล้วกระจายเอาไปทำให้เขตอื่นด้วย เพราะสวนนี้ใช้งบสูง แต่งบที่จำเป็นอีกหลายโครงการกลับไม่ผ่าน เป็นต้น
เมื่อถามว่าการหาเสียงของ สกลธี เสียเปรียบคู่แข่งคนอื่นไหม เพราะหลายคนมีทีมผู้สมัคร ส.ก. นำร่องให้? สกลธี ตอบว่า ของตัวเองก็มีผู้สมัคร ส.ก. ที่สนิทกัน ทั้งพรรคกล้า และพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถ้าคนไหนที่มีแนวทางตรงกัน และเชียร์สกลธี ก็ยินดีให้เข้ามาร่วม แม้กระทั่งจะเปิดตัวขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ด้วย ไม่ปิดกั้นหรือจำกัดเฉพาะพรรคใดพรรคหนึ่ง
สุดท้ายนี้ สกลธี ย้ำว่า ถ้าเกิดอยากได้คนหนุ่มที่มีพลังในการทำงาน เพื่อตอบโจทย์ปัญหาจุกจิกของกรุงเทพฯ มันต้องได้คนที่ลุยทุกอย่าง รวมทั้งตนเองก็มีประสบการณ์ที่เป็น ส.ส. เป็นรองผู้ว่าฯ กทม. มาแล้ว สามารถทำงานได้ทันที
Comments
Post a Comment